วันพฤหัสบดีที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

              ช่วงวันที่ 4-16 กุมภาพันธ์นี้ ทางจังหวัด"โคราช" ได้จัดการแข่งขันจักรยานถนนชิงแชมป์เอเชีย ครั้งที่ 35 และเยาวชนชิงแชมป์เอเชีย 
ครั้งที่ 22 “ไนท์ แชมเปี้ยนชิพส์” ซึ่งเป็นการแข่งในเวลากลางคืนครั้งแรกของโลกด้วย ซึ่งครั้งนี้เรามีโอกาสได้ดูถ่ายทอดสดการแข่งขันรุ่นเยาวชนชายทางช่อง thai pbs ด้วย (ที่บ้านเป็นโอตาคุจักรยาน โดยเฉพาะแม่ พ่อก็เป็นแต่น้อยกว่าแม่ เราจึงได้รับอิทธิพลและซึมซับเรื่องจักรยานมาจากที่บ้าน) 
                นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ดูแข่งจักรยาน ดูแล้วมันสนุกดี ชายหนุ่ม(รุ่นเยาวชน เอ๊าะๆ รุ่นราวคราวเดียวกัน) ปั่นแข่งกันไม่หยุดไม่หย่อน อีกทั้งต้องทำงานกันเป็นทีม มีการวางแผนเป็นเรื่องเรื่องเป็นราว ไม่ใช่ปั่นๆไปข้างหน้าให้ถึงเส้นชัยอย่างเดียวเหมือนที่เราเคยเข้าใจ ซึ่งการแข่งขันครั้งนี้มีนักกีฬาหลายชาติที่เข้าร่วมการแข่งขัน หนึ่งในนั้นคือ "ญี่ปุ่น" (บล็อกนี้เป็นบล็อกที่ติ่งญี่ปุ่นมาก 5555) หนุ่มยุ่นอายุพอๆกันกับเราเลย ใส่ชุดสีขาว โดยที่คนพากย์ได้บอกถึงการทำงานเป็นทีมของญี่ปุ่นอย่างยอดเยี่ยม เขาก็บรรยายนู่นนี่ไป จนกระทั่งบอกว่า 'ทีมญี่ปุ่นก่อนมาแข่งที่นี่ ได้ไปเก็บตัวที่เชียงรายประมาณเดือนหนึง' พูดเท่านั้นแหละ เรานี่ *อ๋อ* ออกมาเลย นึกขึ้นได้เลยว่า ช่วงเดือนที่ผ่านมามีนักปั่นจักรยานญี่ปุ่นมาซ้อมเก็บตัวแถวบ้านเรานี่เอง 
                ช่วงก่อนๆ เรากับเพื่อนมักจะชวนกันไปที่ถนนใหญ่เพื่อ...พากันไปดูหนุ่มญี่ปุ่นปั่นจักรยาน...(โดยที่ไม่รู้เลยว่าคือนักปั่นทีมชาติ)55555 พวกนางน่ารักกันมากกกกก ใส่ชุดปั่นแล้วดูหล่อดูเท่ มีหลากหลายไซส์มาก บางคนถ้าเป็นรุ่นใหญ่ก็จะสูงใหญ่กันมาก แต่ถ้ารุ่นเยาวชนนี่จะเตี้ยๆ ป้อมๆ ขาเป็นมัดเลย 55555 แต่คาวาอี้มากกก เวลาพวกนางปั่นผ่าน เราจะแอบหลบๆมุมแล้วจะโกนออกไปว่า "กัมบาเระ" หรือไม่ก็ 'คาวาอี้' พวกนางก็ปั่นกันอย่างไม่หยุดไม่ยั้ง เหงื่อท่วมโชกตัว ปั่นกันเป็นกลุ่มอย่างแข็งขัน บางครั้งเราก็ต้องคอยลุ้นตอนรถสิบล้อ หรือรถพ่วงขับผ่านพวกนาง เพราะถนนมันแคบ รถเยอะ และอันตรายมาก แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดี
                จนมาเจอพวกนางในทีวีและ...ได้แชมป์ (จริงๆเราเชียร์ทีมไทยนะ >O<)
               ถึงแม้จะไม่รู้จักกัน แต่เราแอบไปส่องบ่อยๆ แอบเป็นกำลังใจให้อย่างเงียบๆ ตอนดูทีวี ได้เห็นตั้งแต่ออกสตาร์ทไปจนถึงตอนเข้าเส้นชัย ฉันล่ะภูมิใจในตัวพวกนายจริงๆ สมแล้วกับที่พวกนายฝึกซ้อมอย่างหนักเป็นเดือนๆ ชื่นชม ปลาบปลื้ม ปลื้มใจ จริงๆ
             ไว้ปีหน้ามาปั่นแถวบ้านเราอีกนะ

                                     คนนี้เข้าคนแรก เห็นหน้าไม่ชัด แต่จำหน้าคนหนึ่งในทีมได้ เห็นปั่นไปซื้อหมูปิ้งที่ตลาด 555
                                                 

วันเสาร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2558

เด็ก(พาร์ทไทม์)ของฉะโจว

เป็นเด็กพาร์ทไทม์ที่ฉะโจวเกรงใจ
เป็นเด็กพาร์ไทม์ที่ทำให้ฉะโจวเกรงใจ
เป็นเด็กพาร์ทไทม์ที่ถามขี้ถาม ถามทีละข้อๆ ไม่เคยถามรวดเดียว 
เป็นเด็กพาร์ไทม์ที่ก่อนหน้านี้เป็นกิ๊กของฉะโจว (โดนลดความสัมพันธ์!! T^T)
เป็นเด็กพาร์ทไทม์ที่หึงฉะโจว(มาก) >O< ถามว่าแกมีสิทธิ์อะไรห้ะ?
เป็นเด็กพาร์ทไทม์ที่ตำหนิฉะโจว
เป็นเด็กพาร์ทไทม์ที่ชอบโมโหใส่ฉะโจว
เป็นเด็กพาร์ทไทม์ที่ชอบเหวี่ยงและขึ้นเสียงใส่ฉะโจว แต่ฉะโจวเป็นคนที่ใจเย็นมากกกก
เป็นเด็กพาร์ทไทม์ที่ฉะโจวชอบโทรมาตอนตีสองตีสามแต่ก็ต้องรับ
เป็นเด็กพาร์ทไทม์ที่ฉะโจวชอบมาปรึกษา (ชอบรบเร้าอยากทำนู้นนี่นั่น ละก็ลำบากตรูตลอดดดดด)
เป็นเด็กพาร์ทไทม์ที่แอบบ่นฉะโจวกับเพื่อนๆ
เป็นเด็กพาร์ทไทม์ที่มีฉะโจวขี้เหนียว @_@ (ผมอยากอันที่ถูกที่สุดแต่ดีที่สุดนะ <--คิดว่าตรูจะหาได้มั้ยห้ะ? -,,-)
เป็นเด็กพาร์ทไทม์ที่(หลายๆครั้ง) ฉะโจวรำคาญม๊ากกกก
เป็นเด็กพาร์ทไทม์ที่ซึนมาก อยากให้ฉะโจวปลอบแต่กลับบอกไปว่า 'หนูโอเค' (แต่ทำเสียงอ่อยๆซึมๆ) ฉะโจวก็จะปลอบนานขึ้น 55555 มารยาร้อยเล่มเกวียนค่ะ
เป็นเด็กพาร์ทไทม์ที่ชอบทำให้ฉะโจวผิดหวัง
เป็นเด็กพาร์ทไทม์ที่แอบชอบฉะโจวตั้งแต่ครั้งแรกที่คุยกัน
เป็นเด็กพาร์ทไทม์ที่ฉะโจวชอบทำร้ายจิตใจ (มากๆๆๆๆ) 
เป็นเด็กพาร์ทไทม์ที่พูดน้อยและน่าเบื่อ โมโหง่ายด้วย
เป็นเด็กพาร์ทไทม์ที่จ้าง 100 ทำแค่ 75-100 ไม่เผื่อค่ะไม่เผื่อ 555
เป็นเด็กพาร์ทไทม์คนเดียวของฉะโจว(??)และถูกฉะโจวซุกซ่อนไว้ไม่ให้ใครรู้ (เวลาจะโทรมาสั่งงาน นางจะแอบมาคุยในห้องน้ำ! ><)
เป็นเด็กพาร์ทไทม์ที่ไม่ค่อยดีนัก แต่รักฉะโจวสุดหัวจายยยย <3แอร๊ยยยยย 

สุขสันต์วันเด็ก >O< ก็ไม่ค่อยเกี่ยวอะไรกับเว็นเด็กเลย แต่แค่อยากระบายเรื่องอิบอสบ้าบ๊อง บางครั้งก็น่ารักบางครั้งแบบว่า...ฮึ้ยยยยย!!! แต่ก็ไม่รู้ว่าจะได้ทำด้วยกันอีกนานแค่ไหน หรือว่างานของวันนี้อาจเป็นงานสุดท้ายแล้วก็ได้ TT ต่างฝ่ายต่างเอือมกันมั้ง 555555 เฮ้ออ อย่างน้อยก็ได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์หลายๆอย่าง ที่เพื่อนๆวัยเดียวกันยังไม่ได้รับ ได้ทำความคุ้นชินกับกับความกดดัน ความน้อยใจ ความสารพัด ได้ลองทำในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าทำไม่ได้แต่สุดท้ายก็ทำได้ อยากจะขอบคุณอิฉะโจวจริงๆ แต่บางครั้งถ้าฉะโจวสั่งงานหนูในช่วงใกล้วันนั้นของเดือน ฉะโจวก็มาเร่งหนู หนูก็โมโหไรมั่งงั้นงี้ เล่นเอาฉะโจวเสียใจไปเป็นช่วงเลยอ่าา 555555
ม่ว่าวันพรุ่งนี้ความสัมพันธ์เราจะเป็นอย่างไร แต่ช่วงเวลาที่ผ่านมาหนูดีใจมากนะที่ได้เจอฉะโจว ไม่เคยเสียดายเวลาที่ผ่านมาเลย เยิฟๆ xoxo

ควรจะพอหรือยังนะ

หลายๆครั้งรู้สึกว่าตัวเองถูกย่ำยี หลายๆครั้งรู้สึกว่าตัวเองเป็นของตาย หลายๆครั้งรู้สึกว่าตัวเองเป็นแค่ศาลาพักใจ
แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นฝ่ายเข้าหาก่อน เป็นฝ่ายที่ไม่ยอมหยุดในขณะที่อีกฝ่ายหยุดตั้งนานแล้ว เป็นฝ่ายที่ก่อเรื่องขึ้นเองทั้งหมด หลอกตัวเองไปวัน พร้อมกับความเพ้อฝันที่เป็นจริงได้ยาก

ไม่ได้อยากจะโทษแต่เขาฝ่ายเดียว อยากโทษตัวเองมากกว่า เป็นคนเสนอตัวเองว่าจะนู้นนี่นั่น แล้วพอเค้าจะให้ทำก็จะปฏิเสธ ทำไมเราถึงเป็นคนกลับกลอก ไม่รักษาคำพูด?
เอาจริงๆก็รู้สึกผิดอยู่ไม่ใช่น้อย คิดว่าไม่น่าปล่อยให้มันถลำลึกมาจนถึงขั้นนี้ 

ณ ตอนนี้ถ้าเลือกได้ อยากให้เค้าถอยออกไปอีกครั้ง และก็อยากให้ตัวเราเองไม่พยายามไปดึงเค้ากลับมา

วันเสาร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

           ช่วงนี้เป็นช่วงขาลงของชีวิต เจอปัญหามากมายกับผู้คนรอบตัว ทั้งเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ และคนเหล่านั้นย่อมเป็นคนที่สำคัญมากๆกับชีวิต แต่พระเจ้าก็ได้สำรองคนรอบข้างอีกกลุ่มเก็บไว้ให้เรา เพื่อการปลอบโยน เพื่อความอุ่นใจ เพื่อความคิดใหม่ เพื่อที่จะได้สั่งสอน เพื่อที่จะทำให้เรากลับไปเข้าใจคนที่กลุ่มหนึ่งที่เรามีปัญหาด้วยอีกครั้ง 

              ขณะนี้ความขัดแย้งเริ่มน้อยลง ความรู้สึกอยากขอบคุณได้เพิ่มพูน ถึงแม้จะได้เอ่ยกล่าวคำนี้ไปแล้วกับทั้งสองฝ่าย แต่ก็ยังรู้สึกไม่เพียงพอ ไม่รู้จะขอบคุณยังไงดี

               ถึงแม้ว่าถ้าวันพรุ่งนี้ ฉันอาจจะทะเลาะกับคนใดคนหนึ่ง หรือเกลียดใครคนใดคนหนึงขึ้นมา ฉันก็จะสามารถมั่นใจขึ้นได้อีกนิดว่า เราจะถูกเชื่อมโยงกันอีกครั้งโดยใครอีกซักคน
ชีวิตเรามักถูกโยงใยพันกันไปทั่ว บ้างก็คอยปลุกปั่นให้แตกแยก บ้างก็คอยปลุกเร้าให้รักกัน
แต่นี่แหละคือโลก เรื่องเส้นสายใยที่มนุษย์ต่างมีให้กัน
อยากจะขอบคุณ
และเรียนรู้ที่จะใส่ใจกับคนรอบข้างให้มากยิ่งขึ้น

วันจันทร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2557

         บางครั้ง(หรือหลายๆครั้ง) ก็รู้สึกเสียใจไม่น้อยกับนิสัย"ปากไว" ของตัวเอง คำพูดที่พรั่งพรูออกมาจากปากโดยไม่ผ่านกระบวนการกลั่นกรอง จะไม่เสียใจสักนิดถ้ามันเป็นคำพูดที่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกดี แต่มันกลับกลายเป็นการตำหนิ ติเตียน พูดในด้านลบ ทำให้เป็นการทำร้ายความรู้สึกของเขา
         ล่าสุดที่ทำให้รู้สึกแย่คือ เมื่อวันก่อน ยายทำกับข้าวให้กิน(ปกติก็ทำให้กินทุกมื้อ) แต่มื้อนี้มันเหมือนเป็นเมนูที่เราไม่ค่อยพิศวาสเท่าไหร่  ยิ่งครั้งนี้ยายบอกว่าเครื่องปรุงมีไม่ครบรสชาติอาจเพี้ยนไป เราก็เลยลองชิมดู ปรากฏว่ามันเพี้ยนจริงๆ แล้วมันก็อร่อยน้อยกว่าทุกครั้ง บวกกับความที่ไม่ใช่อาหารจานโปรด คำพูดก็พุ่งออกมาจู่โจมคนทำเลยทันที คือถ้าพูดนิดๆหน่อยๆก็ยังโอเค แต่เราย้ำคิดย้ำพูดอยู่นั่นแหละ จนอีกฝ่ายเงียบไปเลย
         ตอนพูดเสร็จก็ไม่ได้มาฉุกคิดอะไรหรอก แต่พอเวลาผ่านไปสักแปป ความทรงจำตอน ม.ต้น ก็ลอยขึ้นมา ตอนนั้นน่าจะอยู่ ม.3 ได้รู้จักกับพี่คนหนึ่ง พี่เขามาสอนศาสนา เราจะเจอกันทุกวันพฤหัสของอาทิตย์ แบ้วมีอยู่อาทิตย์หนึ่ง พี่เขาก็ได้หยิบยกหัวข้อการเปลี่ยนแปลงนิสัยที่ไม่ดีของตัวเองขึ้นมาพูด แล้วถามเราว่า "ตั้งแต่นี้ต่อไป คิดว่าจะเปลี่ยนแปลงนิสัยที่ไม่ดีอะไรของตัวเองบ้าง?" เราจำคำตอบของตัวเองไม่ได้หรอก แต่ที่แน่ๆเราจำคำตอบของพี่เขาได้ดี "สำหรับพี่นะ ตอนนี้อยากจะเปลี่ยนแปลงนิสัยไม่ดีของตัวเองอยู่อย่างหนึ่งคือ พี่เป็นคนที่ชอบบ่นแม่ว่าทำอาหารไม่อร่อย เดี๋ยวก็หวานบ้าง เค็มบ้าง ซึ่งเราไม่รู้หรอกว่าแม่จะรู้สึกยังไง ต่อไปนี้พี่อยากชมแม่บ้าง" คำพูดในตอนนั้นมันลอยขึ้นมาในหัว ทำให้รู้สึกผิดมากๆที่พูดกับยายแบบนั้น แต่ก็กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้สำหรับกับข้าวมื้อนั้น
         ครั้งนี้มันเป็นบทเรียนทำให้เราหันมาใส่ใจที่จะกลั่นกรองคำพูดก่อนที่จะพูดออกมาให้มากขึ้น เราอยากที่จะพูดออกมาแล้วทำให้ฝ่ายตรงข้ามรู้สึกดีมากกว่าที่จะรู้สึกเสียใจ ถึงแม้ครั้งนั้นเราจะไม่พึงพอใจในรสชาติอาหาร แต่เราก็ควรสำนึกในสิ่งที่คนทำตั้งใจทำให้เรากิน ถึงรสชาติไม่อร่อยแต่ก็ได้อิ่มท้อง เราคาดหวังมากๆว่าเราจะสามารถแก้ไขส่วนนี้ของเราให้ดีขึ้น เราหวังว่าเราจะทำร้ายคนอื่นด้วยคำพูดน้อยลงเรื่อยๆ

วันอาทิตย์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2557

บ่น 004

         การที่เราถูกผู้คนตำหนิกับการที่เราถูกชมเชย ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ให้แรงผลักดันแก่เราทั้งคู่ แต่ให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันลิบลับ...
          ยังไงก็ตามแต่ ไม่ว่าคำดูถูก คำติฉินนินทา คำชื่นชมหรือการยกย่อง ล้วนเแต่เป็น "เชื้อเพลิง" ที่ถูกราดลงไปในกองไฟที่อยู่ในตัวเรา ทำให้มีแรงฮึ้ดขึ้นมา
ยิ่งดูถูกยิ่งอยากทำให้ดีขึ้น
ยิ่งชมเชยก็ยิ่งอยากทำให้ดีขึ้น

        คำพูดใครบางคนอาจทำให้ทำถึงกับเป๋หรือหยุดชะงัก คำพูดของใครอีกคนอาจทำตัวเราลอยขึ้นสูงลิ่ว
แต่คำพูดของคนอื่น ก็ย่อมเป็นคำพูดของคนอื่นอยู่วันยังค่ำ จะสู้พลังแห่งความเชื่อมั่นในตัวเองของเราได้อย่างไรกัน? ท้ายที่สุดเราก็ต้องมีจิตใจที่หนักแน่น มองข้ามบางอย่าง(อย่างมีเหตุผล)ที่คนรอบข้างพูด และเชื่อมั่นในตนเองให้มากขึ้น

วันเสาร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2557

บ่น003

       ช่วงนี้ฉันจะพยายามระงับอาการแอบกรี๊ด+แอบจ้อง+แอบมอง "หนุ่มน่ารัก" อยู่ คือบางครั้งฉันแสดงอาการออกอย่างเกินหน้าเกินตามากๆ 555 แต่ถ้าเดินคนเดียวจะแอบอมยิ้มนิดๆ พยายามไม่มองหน้า
       แต่วันนี้ฉันเดินกับเพื่อนๆอีก 3 คน แล้วก็บังเอิญไปเห็นหนุ่มนักท่องเที่ยวคนหนึ่ง ใส่เสื้อยืดสีขาวกับกางเกงแบบย้วยๆ จะพายกระเป๋าเบ้ ผมดำผิวแทนนิดๆ ฉันฉันดูออกทันทีว่าเป็น "นิปปอนกาย" >O< ยิ่งเดินมาใกล้ๆแล้วน่ารักมากกกกก เราก็ชี้ให้เพื่อนๆดู ก็วี้ดว้ายกันใหญ่ จนเราเดินสวนกันหันหลังให้กันแล้ว เราก็แอบพูดเบาๆว่า "かっこいい!" ตอนเราพูด เพื่อนก็หันไปดูฮีแกพอดี เพื่อนเลยหันกลับมาบอกว่า "เขาหันมาอ่ะ!" ฉันก็เฮ้ยจริงหรอ???? คือแบบเฟลเลย 55555 แต่เพื่ออีกคนก็ก็บอกว่าไหนๆเขาก็หันมาแล้ว พูดพร้อมกันเลยป่ะ? จากนั้นพวกเราก็..."คัคโคอี้! คาวาอี้!!!!" พร้อมกัน แล้วรีบวิ่งหลบกันใหญ่เลย
      พี่ยุ่นได้แต่มองด้วยสายตางงๆปนกลัวๆ เพราะนางเดินคนเดียว 
>< ถ้าเป็นฝรั่งมันคง "Thank you" กลับละ แต่พี่ยุ่นแกนิ่งๆ >O< พวกเราก็สนุกกันใหญ่เชียว (ก็มากันเป็นพวกนี่ ถ้าลองดูคนเดียวฉันก็คงก้มหน้าก้มตาอมยิ้ม เดินดุ่มๆไปละ 5555) 
       มาคิดไปคิดมาว่า พวกเราเป็นผู้หญิง แล้วไปแซวคนต่างชาติอย่างงั้น ภาพพจน์คงติดลบไปอีก เฮืออออก O_O หนูขอโทษข่าาา T^T วันหลังจะพยายามเก็บให้มิดเลย จะไม่แซวอีกละ เง้อออออ :D